top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนBrr Sppw

จะมีไหมพื้นที่ๆอนุญาตให้ผู้ใหญ่ในวันนี้ กลับมาวิ่งเล่น หัวเราะได้เหมือนในวันวาน

อัปเดตเมื่อ 22 พ.ค. 2564




ตอนเป็นเด็กก็อยากรีบโต แต่พอโตขึ้นจึงได้รู้ว่าไม่มีที่ในวันวานให้กลับไปวิ่งเล่นได้อีกแล้ว หลายคนที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้ากำลังคิดแบบนี้ เราเป็นหนึ่งคนในนั้น อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตวนเวียนไปมากับแค่คำว่า "ทำงานแล้วจะได้เงิน" ภายใต้สังคมทุนนิยมอย่างสังคมไทยแห่งนี้ "คนที่รวย คนที่อดทน คือคนที่จะอยู่รอด"


ตอนนี้เราแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ายิ้มกว้างๆ หัวเราะดังๆโดยที่ไม่ต้องกังวลจำนวนเงินในบัญชีล่าสุดตอนไหน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งอ่านหนังสือ วาดรูปได้แบบไม่ต้องห่วงว่าเจ้านายจะแชทมาทวงงานตอนไหน ผู้ใหญ่มักบอกให้เด็กอดทน คนสมัยก่อนลำบากกว่านี้ตั้งเท่าไหร่ แล้วคนเราจะต้องอดทนอย่างนี้เป็นนี้จนวันที่ชีวิตเรามั่นคงเลยเหรอ แล้วตอนนั้นจะอายุกันซักเท่าไหร่ล่ะ ?


ตัวเราสนใจเรื่องระบบการศึกษาเป็นพิเศษ คิดอยู่ตลอดว่าในอดีตเราทุกคนต่างก็เป็นผลผลิตของคนรุ่นก่อนที่ถูกวางกรอบเอาไว้ มีความฝันแต่กลับถูกหัวเราะใส่ ดังนั้นตัวเราที่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้จะต้องทำให้เด็กๆในวันข้างหน้ายิ้มได้กว้างกว่าเราในอดีต ให้ทางเลือกกับเด็กให้เขาได้เลือกว่าชีวิตเขาต้องการอะไรแน่ แบ่งปันพื้นที่ที่สามารถทำให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องใส่ใจสังคมรอบตัวเป็นสำคัญ

ต้นปีนี้เรารู้จักกับพี่เนาว์ เสาวนีย์ สังขาระ ซึ่งเป็นนักผลิตรายการสารคดีอิสระ เจ้าของบินสิโปรดักชั่นเฮ้าส์ และเป็นนักเขียนบทความบนเว็บไซต์ The Clound เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาทางเลือกในต่างประเทศซึ่งเราสนใจติดตามอ่านมาตลอด พอมีโอกาสได้พูดคุยกันก็ได้รู้ว่า ส่วนตัวพี่เนาว์เองก็กำลังทำพื้นที่การเรียนรู้แบบทางเลือกอยู่เหมือนกัน โดยตั้งชื่อที่นี่ว่า 'สวนศิลป์ บินสิ'





'สวนศิลป์ บินสิ' เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ประกอบสามคำเข้าไว้ในพื้นที่แห่งนี้ นั่นคือ ' Film' (ซึ่งเป็นตัวแทนในส่วนของอาชีพที่ทำอยู่ของพี่เนาว์ ) ' Farm' คือพื้นที่รอบบ้านซึ่งพี่เนาว์ได้กลับมาบุกเบิกจากผืนดินที่รกร้างว่างเปล่าจนเขียวชะอุ่มไปด้วยพืชผัก ผลไม้ที่ปลูกเองกับมือ โดยมีสาเหตุแรกเริ่มมาจากที่พ่อของพี่เนาว์ป่วย จึงต้องย้อนกลับมาแก้ไขในเรื่องวิถีชีวิต การอยู่อาศัย สิ่งแวดล้อม การดูแลอาหารที่ต้องลงมือควบคุมด้วยตัวเอง และ คำว่า' School' ซึ่งหมายถึง พื้นที่ที่สามารถกลายเป็นศูนย์การแลกเปลี่ยนรู้ที่สามารถทำให้คนเดินทางมายังสวนศิลป์บินสิได้องค์ความรู้การใช้ชีวิตติดกระเป๋ากลับบ้านไปด้วย




ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สวนเกษตรกรรม ทว่ายังได้มีการออกแบบการสอนให้มีรูปแบบเฉพาะด้วยการแฝงนัยความหมายลงไปในชื่อ 'สวนศิลป์ บินสิ' เพราะพี่เนาว์เชื่อเสมอว่าทุกคนมีปีก เราต้องเชื่อในปีกของตัวเอง ปีกที่สามารถพาเราออกไปเผชิญ สำรวจโลกกว้างได้ทุกเมื่อ เพียงแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเหนื่อยล้า อยู่ในสภาวะที่ยังไม่พร้อมจะรับมือกับปัญหาต่างๆ เราแค่หุบปีกที่มีอยู่ลง หากพร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับไปโผบินบนผืนฟ้าอีกครั้ง และอยากให้ศูนย์ศิลป์แห่งนี้เป็นที่พักพิงให้กับใครก็ตามที่ยังไม่พร้อมกางปีก คนที่รู้สึกเหนื่อยกับการวิ่งตามโลกทุนนิยม หรือคนที่อยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลเหมือนครั้งที่เรายังเป็นเด็ก ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ หายใจโล่งสบายในพื้นที่ๆเป็นเสมือนบ้านของเราเอง



พื้นที่แห่งนี้เราเริ่มต้น และเรียนรู้ไปด้วยกัน


ปีนี้นับเข้าปีที่ 7แล้วที่สวนศิลป์ บินสิได้ต้อนรับคนจากภายนอกให้เข้ามาเรียนรู้ สัมผัสประสบการณ์ และอยู่ร่วมกันจริงๆ ท่ามกลางธรรมชาติโล่งกว้าง ซึ่งทุกคนได้ลงมือปฏิบัติกันเองทั้งหมดเลย นับตั้งแต่เติมเต็มผืนดินที่ว่างเปล่าด้วยการสร้างบ้านดินที่สามารถเข้าพักได้จริง โดยใช้เวลาสร้างราว3-4วัน ปลูกผักสวนครัวกินกันเอง เพราะเราจะเรียนรู้โดยตรงเลยว่าอาหารที่ดีมาจากไหน และการผลิตอาหารเองนั้นนอกจากจะช่วยประหยัดรายจ่ายแล้ว ยังช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสารพิษที่ปนเปื้อนมาบนอาหารตามท้องตลาด หรือบนห้างสรรพสินค้า


"ที่นี่เราไม่สอนการใช้ชีวิตแบบ How to แต่อยากส่งต่อแรงบันดาลใจได้กระบวนการคิดการทำงาน และความรู้สึกดีๆกลับไปมากกว่า"

พี่เนาว์อธิบายให้เราฟังถึงความแตกต่าง และจุดมุ่งหมายของการทำสวนศิลป์ฯ ในคืนหนึ่งที่ลมแรง ฝนใกล้จะตก เมื่อปลายเดือนที่แล้ว




เราไม่ได้บอกให้ทุกคนกลับบ้าน ลาออกจากงานประจำแล้วออกมาทำสวน แต่เราเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถทำให้ทุกคนได้ปรับชีวิตให้สมดุลมากขึ้น มาออกแบบพื้นที่ชีวิตแบบใหม่ในแบบที่คนเมืองไม่สามารถทำไม่ได้ดูบ้าง เนื่องด้วยปัจจัยด้านสถานที่ เวลาที่เร่งรีบไม่ยอมเอื้ออำนวย เพราะท้ายท่ีสุดแล้วบางคนอาจจะตระหนักขึ้นมาได้ว่า การที่เราทำงานทั้งชีวิตเพื่อผ่อนบ้านหรูๆ เราทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายเราก็แค่อยากกลับมาอยู่บนชีวิตที่เรียบง่าย ทั้งเงิน ทั้งบ้าน ตายแล้วก็ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้ ทั้งยังมีอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้ง่ายอีกถ้าเรามีการกินอยู่ไม่ได้สุขลักษณะ อีกเช่นกันถ้าเปรียบตัวเราเป็นนก ที่นี่ก็เป็นเหมือนรัง เป็นบ้านที่อบอุ่นรอให้ทุกคนกลับมาเสมอ (:


ดู 68 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page